วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

แบบทดสอบปลายภาค


ทดสอบปลายภาค

ให้นักศึกษาอ่านบทความต่อไปนี้วิเคราะห์แสดงความคิดเห็น
1.แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา ให้นักศึกษาอ่านบทความอย่างน้อย 3 บทความหรือมากกว่า Keywordว่า "แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา"ให้เขียนเชื่อมโยง วิเคราะห์ลงในบล็อกของนักเรียน
 ตอบ  แท็บเล็ตเป็นเครื่องมือที่มีความเป็นมากยาวนาน สันนิษฐานและกล่าวกันว่าแท็บเล็ตในยุคประวัติศาสตร์ได้เริ่มต้นจากการที่มนุษย์ได้คิดค้นเครื่องมือสาหรับการพิมพ์หรือบันทึกข้อมูลจากแผ่นเยื่อไม้ที่เคลือบด้วยขี้ผึง บนแผ่นไม้ในลักษณะของการเคลือบประกบกันทั้ง 2 ด้าน ใช้ประโยชน์ในการบันทึกอักขระข้อมูล หรือการพิมพ์ภาพ ซึ่งปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนจากบันทึกของซิเซโร  ชาวโรมัน เกี่ยวกับลักษณะของการใช้เทคนิคดังกล่าวนี้จะมีชื่อเรียกว่า “Cerae” ที่ใช้ในการพิมพ์ภาพบนฝาผนังที่วินโดแลนดา บนฝานังที่ชื่อผนังฮาเดรียน (อ้างอิงจากhttp://www.addkutec3.com)ในแท็บเล็ตปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณสามารถพกติดตัวได้โดยวัตถุประสงค์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ใช้เพื่อทดแทนสมุดหรือกระดาษ "แท็บเล็ต - Tablet" ในความหมายแท้จริงแล้วก็คือแผ่นจารึกที่เอาไว้บันทึกข้อความต่างๆโดยการเขียน (อาจจะเป็นกระดาษดินขี้ผื้งไม้หินชนวน) และมีการใช้กันมานานแล้วในอดีต แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาแทนที่ซึ่งมีหลายบริษัทได้ให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป หลักๆแล้วก็มี 2 ความหมายด้วยกันคือ "แท็บเล็ต พีซี - Tablet PC  และ "แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรียกสั้นๆว่า "แท็บเล็ต ในปัจจุบัน แท็บเล็ต ถูกพัฒนาให้มีความสามารถใกล้เคียงเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเลยทีเดียว เครื่องแท็บเล็ตพีซี มีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถถือได้ด้วยมือเดียวและน้ำหนักเบากว่าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค(อ้างอิงจาก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ,TabletD.com)
ประโยชน์และความสำคัญของแท็บเล็ต
1.  สนองต่อความเป็นเอกัตบุคคล คือสนองความต้องการของตัวบุคคล จะมีความต้องการในการติดตามช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียนหรือผู้ใช้บรรลุผลและมีความก้าวหน้าทางการเรียน
2.  เป็นสื่อที่ก่อให้เกิดการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันบางครั้งต้องอาศัยการจำลองสถานการณ์เพื่อการเรียนรู้และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสถานการณ์ต่างๆเหล่านี้แท็บเล็ตจะมีศักยภาพสูงในการช่วยผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ได้
3. เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ คือช่วยให้นักเรียนเกิดการแบ่งปันประสบการณ์ความรู้ซึ่งกันและกันจากช่องทางการศึกษาการเรียนรู้หลายช่องทางอีกทั้งยังเป็นการประยุกต์การเรียนรู้ร่วมกันของบุคลในการสื่อสารหรือสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพ
มีการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่ชัดเจนในการเรียนรู้จากแท็บเล็ตจะมีการออกแบบเนื้อหาหรือหน่วยการเรียนรู้ที่เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึก หน่วยการเรียนรู้นั้นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานและหลักการที่สามารถยืดหยุ่นได้
5.        สามารถสะท้อนผลต่อผู้เรียน/ผู้ใช้ได้ดี และช่วยสะท้อนความก้าวหน้าทางการเรียนรู้จากเนื้อหาที่เรียนช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับปรุงตนเองในการเรียนรู้ และสามารถประเมินและประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
6.         สนองต่อคุณภาพด้านข้อมูลสาระสนเทศ คือสื่อมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงต่อผู้เรียนหรือผู้ใช้ในการเข้าถึงเนื้อหาสาระของข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณภาพ ซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนถูกต้องในการกำหนดมโนทัศน์ที่ดี(อ้างอิงไพฑูรย์ ศรีฟ้า ( 2554 ) เปิดโลก Tablet สู่ทิศทางการวิจัยด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา


    จากที่ได้กล่าวไปนั้นผู้คนจำนวนมากทั้งนักศึกษาและคนที่ใช้เครื่องแท็บเล็ต คิดว่าเทคโนโลยีมีความสำคัญ โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ที่นับว่าเป็นสื่อการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันในสังคมยุคออนไลน์ เช่น ใช้ในการประกอบอาชีพรวมไปถึงการศึกษาและการเรียนรู้ในทุกระดับและทุกภาคส่วน พกพาสะดวกและมีประสิทธภาพสูงในการใช้งาน ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยเองก็ได้นำเข้ามาให้นักเรียนไทยโดยเริ่มใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1ให้เปลี่ยนความคิด มุมมอง เปลี่ยนทัศนคติโดยเฉพาะครูไทย คือ ต้องต้องแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่และจัดโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดีอย่างเพียงพอ และพัฒนาตนเองในการใช้แท็บเล็ตอีกทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนและผู้สอนมีความกระตือรือร้นและมีเวลาเพียงพอที่จะได้ทดลองและสร้าง           นวัตกรรมการใช้งานแท็บเล็ต  เพื่อให้ครูและนักเรียนเกิดความคุ้นเคย และมีทักษะ ในการใช้แท็บเล็ต ทำให้นักเรียนนักศึกษาก้าวทันเทคโนโลยีไปพร้อมๆกับการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย
          ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปซึ่งแน่นอนว่าเราเปลี่ยนตามสิ่งเหล่านั้นไปได้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ทันสมัยขึ้น แต่ก็ต้องใช้แท็บเล็ตให้เกิดประโยชน์ในทางการศึกษาให้มากที่สุดอย่าใช้ในทางที่ไม่ดีและไม่ถูกต้อง เพราะมีประโยชน์ก็ต้องมีโทษตามมา ซึ่งมันก็อยู่ที่ตัวของเราว่าจะเป็นผู้เลือกและกำหนดอย่างไร ควรใช้แท็บเล็ตให้ถูกต้องตามความเหมาะสมและเกิดผลดีมากที่สุด
2.อ่านบทความเรื่องสมาคมอาเซียนอ่านบทความอย่างน้อย 3 บทความหรือมากกว่า ใช้ Keywordว่า "สมาคมอาเซียน" ให้เขียนวิเคราะห์ ประเทศไทย ประเทศเพื่อนบ้าน การเตรียมตัวเป็นครู นักเรียน นักศึกษา เพื่อไปสู่อาเซียนได้อย่างไร
ตอบ อาเซียน คือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือASEAN) โดยการจัดตั้งในครั้งแรกมีจุดประสงค์เพื่อ ส่งเสริมและร่วมมือในเรื่องสันติภาพ,ความมั่นคงเศรษฐกิจองค์ความรู้สังคมวัฒนธรรม บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก(อ้างอิง http://ประชาคมอาเซียน.net)  ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ อินโดเนเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียตนาม ลาว พม่า  กัพูชา (อ้างอิงhttp://ประชาคมอาเซียน.net)
          อาเซียน รวมตัวกันเพื่อ ความร่วมมือกันทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม และได้มีการพัฒนาการเรื่อยมา จนถึงขณะนี้ที่เรามีกฎบัตรอาเซียน (ธรรมนูญ อาเซียน หรือ ASEAN Charter) ซึ่งเป็นเสมือนแนวทางการดำเนินงานที่จะนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วย 3 สิ่งหลักๆ ดังนี้
1.การเมืองความมั่นคง
2.เศรษฐกิจ (AEC)
3.สังคมและวัฒนธรรม
(อ้างอิง http://www.km.mut.ac.th )
        จากการที่ได้อ่านและศึกษาเรื่องสมาคมอาเซียนมีความเป็นเห็นว่าเมื่อในแต่ละประเทศเข้ากลุ่มอาเซียนแล้วนอกจากเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นที่สามารถสร้างประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้วยังรวมทั้งการศึกษาด้วย เพราะการศึกษาในยุคปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างมากทุกๆประเทศจะเดินต่อการศึกษาด้วยความสามัคคีและเดินไปพร้อมกันใน 10 ประเทศ สามารถไปเรียนในสถาบันการศึกษาใดๆก็ได้ที่ตนเองคิดว่าดี ตรงกับความสนใจ และค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไปรวมทั้งประเทศไทยเองก็ด้วยไม่ว่าจะเป็นนักเรียนเองที่ต้องเตรียมตัวในการศึกษาเข้าสู่สังคมอาเซียนที่ต้องพัฒนาด้านศักยภาพ พัฒนาเด็กความสามารถพิเศษ และที่สำคัญนักศึกษา นักเรียนไทยนั้นต้องพัฒนาทางด้านภาษาซึ่งไม่ได้หมายถึงการพูดคุยเท่านั้นแต่รวมทั้งในเรื่องของการฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทักษะที่ใช้ในการเรียนและการสื่อสารทั้งนั้น เตรียมตัวในเรื่องของความพร้อมพร้อมทั้งร่างกายและหัวใจ คือต้องมีหัวใจแห่งการให้ มีจิตอาสา จิตในการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หยุดการเรียนรู้ โลกต้องหมุนด้วยความรู้ แต่ให้เราอยู่ด้วยความรัก สำคัญนักเรียนจะต้องมีเป้าหมายชีวิต มีความฝัน เขียนฝันและที่สำคัญนั้นก็ในเรื่องของทักษะชีวิต การทำงานอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ การทำงานเป็นทีม  มีความภูมิใจในความเป็นไทย  ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  ใช้ชีวิตอย่างมีสติและปรับตัวในเรื่องของสังคม วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของในแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียน ส่วนครูเองที่มีการพัฒนาและเตรียมตัวคล้ายกับนักเรียนที่สำคัญเรื่องภาษาทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องมีความเก่ง ท่องแท้สามารถสอนและถ่ายทอดให้นักเรียนได้ ครูไทยต้องฝึกจะสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ใหม่ๆ คิดพัฒนาสื่อการสอนใหม่ๆ พัฒนาศักยภาพของนักเรียนตลอดจนการอบรมสังสอนให้เด็กเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึกร่วมในการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมไทย  ประชาคมอาเซียน และสังคมโลก
3. อ่านบทความครูกับภาวะผู้นำของ ผศ.ดร.สมาน คำฟูแสง ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับครู ให้ยกตัวอย่าง ประกอบ แสดงความคิดเห็น บทความ ผศ.ดร.สมาน คำฟูแสง
          ตอบ จากการอ่านบทความของผศ.ดร.สมาน คำฟูแสง ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับครูยกตัวอย่างเช่น ครูในปัจจุบันนอกจากการมีความรู้อย่างท่องแท้สอนเด็กให้เป็นผู้ที่มีความรู้และเป็นคนดีแล้ว ครูต้องเป็นผู้ที่รอบรู้อ่านหนังสือที่ดีเพื่อใช้ในการเติมเต็มความรู้ประยุกต์สอนนักเรียน ต้องเป็นผู้ที่ทันสมัยทันต่อเทคโนโลยี รู้ประวัติของเด็ก ฝึกเด็กเป็นผู้นำกล้าแสดงออก ฝึกให้เด็กทำงานเป็นกลุ่มเป็นทีม และต้องมีบุคคลภายนอกมาสนับสนุนรับฟัง อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่ให้เด็กมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดจึงจะเป็นผู้ที่ได้รับความยอมรับจากนักเรียน เพื่อนครู และบุคคลภายนอกว่าเป็นครูที่มีความรู้ ความสามารถ และมีศักยภาพอย่างแท้จริง
          จากบทความที่อ่านมีความคิดเห็นว่าเป็นบทความที่ดีอีกบทความหนึ่งที่คนเป็นครูจะต้องอ่านเพื่อนนำไปเติมเต็มความรู้และนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง การเป็นครูนั้นมิได้เพียงแค่คำพูดเท่านั้นแต่ควรจะแสดงออกมาให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นครู ความรัก ความเสียสละต่อส่วนรวม และความศรัทธาต่ออาชีพครู
4. ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นและประเมินวิชานี้ว่า การเรียนรู้โดยใช้บล็อก นักศึกษามีวิธีการเรียนรู้อย่างไร แสดงความคิดเห็นหากจะเรียนรู้โดยใช้บล็อก ต่อไปข้างหน้าโอกาสจะเป็นอย่างไร ควรที่จะให้คะแนนวิชานี้อย่างไร และหานักเรียนต้องการจะได้เกรดในวิชานี้ นักเรียนจะต้องพิจารณาว่า
    4.1 ตนเองมีความพยายามมากน้อยเพียงใด
    4.2 เข้าเรียนทุกครั้งไม่เคยขาดเรียน
    4.3 ทำงานส่งผ่านบล็อกตามกำหนดทุกครั้งที่อาจารย์สั่งงาน
    4.4 ทำงานบทบล็อกด้วยความคิดของตนเองไม่ใช้ความคิดคนอื่น
    4.5.สิ่งที่นักเรียนตอบมานั้นเป็นความสัตย์จริง เขียนอธิบายลงในบล็อก
    4.6.อาจารย์จะพิจารณาจากผลงานและความตั้งใจ ความสื่อสัตย์ตนเอง และบอกเกรดว่าควรจะได้เท่าไร แสดงความคิดเห็น
          ตอบ  ตลอดระยะเวลาที่ที่เรียนวิชาการจัดการในชั้นเรียนมา เริ่มต้นจากการสร้างบล็อกเมื่อสร้างเสร็จ อาจารย์จะเป็นผู้สั่งและมอบหมายงานลงในบล๊อก กิจกรรมต่างๆตามที่อาจารย์กำหนด หาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่นหนังสือ อินเตอร์เน็ต ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนและสรุปเป็นความคิดเป็นของตัวของข้าพเจ้าเองจากนั้นก็อัปโหลดลงบล๊อกตามขั้นตอนที่อาจารย์ได้สอนไว้
          ต่อไปข้างหน้านั้นการเรียนรู้โดยการใช้บล๊อกจะเป็นสิ่งที่นิยมใช้เป็นอย่างมากเพราะเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เรียนวิชานี้ เพราะเป็นสิ่งที่ดีมากในความคิดของข้าพเจ้า เป็นการเรียนรู้ที่ทันสมัยอีกทั้งในตอนนี้การเตรียมตัวต้อนรับประชาคมอาเซียนที่จะเข้ามาในปี2558 แล้วจึงจำเป็นอย่างมากและหากข้าพเจ้าไปเป็นครูก็คิดว่าคงจะมีการถ่ายทอดให้นักเรียนได้เรียนได้เรียนรู้หรืออาจจะประยุกต์ใช้กับการสอนให้กับนักเรียน
ควรที่จะให้คะแนนวิชานี้อย่างไร
          ข้าพเจ้าควรจะได้ เกรดเพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่เก่งทางด้านเทคโนโลยี แต่มีความพยายามที่จะจะฝึกหัดด้วยความตั้งใจ  และพยายามเรียนรู้จากสิ่งต่างๆมาทดสอบตัวของข้าพเจ้า ในแต่ละครั้งที่ทำกิจกรรมข้าพเจ้าพยายามทำให้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง และเมื่อเข้าเรียนเกือบทุกครั้งแต่ก้อมีบ้างที่ลาเพราะป่วยแต่ก้อทำงานส่ง และสรุปเป็นของตัวเองให้ได้หรือในบางครั้งก็ต้องปรึกษากับเพื่อนเพื่อให้เข้าใจตรงกันและเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆขึ้นมาผสมผสานกัน
         

กิจกรรมที่ 9

                                                                    ลักษณะห้องเรียนที่ดี

          ลักษณะห้องเรียนที่ดีของข้าพเจ้านั้นจะต้องสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ควรจะต้องมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านแสงสว่าง การระบายอากาศ ความสะอาด ความปลอดภัย ตลอดจนความเหมาะสมกับจำนวนผู้เรียน การจัดสภาพห้องเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งถาวร แต่ควรมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามความเหมาะสมกับวัยของนักเรียน ลักษณะของบทเรียน หรือกิจกรรมที่ครูนำมาใช้ประกอบบทเรียน และไม่จำเป็นที่จะยึดติดการจัดห้องเรียนในรูปแบบเดิมๆ

กิจกรรมที่ 8

                                                   
                                                                 ครูมืออาชีพ
      

       ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงการเป็นครูมืออาชีพ คือต้องเป็นนักประชาธิปไตย ครูจะต้องไม่เป็นเผด็จการ ต้องให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยยินดีรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนอย่างจริงใจและจริงจัง โดยเมื่อนักเรียนวิพากษ์วิจารณ์ก็เอาไปพิจารณาแล้วปรับปรุง โดยเมื่อนักเรียนไปเรียนที่โรงเรียน ครูจะให้นักเรียนได้มีความสุขในการเรียนหนังสือ โดยจุดประสงค์สูงสุดของครูคือ “ความสุขของเด็ก” ครูจะให้ความสำคัญกับเด็กมากโดยมองเห็นนักเรียนเป็นดั่งผู้ใหญ่คนหนึ่ง มองเห็นนักเรียนเป็นดั่งกัลยาณมิตรคนหนึ่ง มองเห็นนักเรียนเป็นดั่งบุตรในอุทร  ครูจะไม่สอนให้นักเรียนโตขึ้นไปเป็น “เจ้าคนนายคน” แต่จะสอนให้นักเรียนโตขึ้นไป “รับใช้ประชาชน” ครูจะสอนให้นักเรียนว่า สิทธิมนุษยชน สำคัญอย่างไร? ครูจะเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อความเที่ยงธรรมยุติธรรมในสังคม  ครูจะสอนให้นักเรียนแต่ละคนรู้จักเสียสละไม่ไปแก่งแย่งชิงดีหวังเป็นที่หนึ่ง  ครูจะสอนให้นักเรียนรู้จักความมีเมตตากับเมตตามาบรรสานกับกรุณา ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ครูนั้นจะเป็นอันดับหนึ่งในทุกศาสตร์ทุกแขนงในการนำพาลูกศิษย์สู่ปัญญาอันมีความงาม ความดี ความจริงอยู่ด้วย
      ครูจะหมั่นเรียนรู้เรื่องราวของโลก ครูจะไม่ล้าสมัยจะไม่งมงาย ครูจะสอนถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ให้พวกเราไม่ลืมพวกเขา ไม่ใช่ให้เราเป็น “ยังมีคนเหนื่อยยากกว่าพวกเรา ไม่ได้รับการศึกษา”แต่จะให้นักเรียนเห็นถึง โครงสร้างสังคมอัน อยุติธรรม ครูจะสอนให้พวกนักเรียนโตขึ้นไปเป็น “พลเมืองโลก”ช่วยเหลือพวกเขา                              
                                     เช่นการสอนวิชาสังคมศึกษา                                                   
     ครูสังคมศึกษา จะสอนให้นักเรียนได้รับรู้ถึงสภาพสังคมที่อยุติธรรมที่เลวร้าย จะสอนให้นักเรียนได้เป็นผู้กล้าหาญต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม ครูจะสอนภูมิศาสตร์ให้นักเรียนรู้ว่ายังมีคนอีกมากที่ประสบปัญหาและเราควรจะช่วยเขา ครูจะสอนให้เรารู้ถึงประเทศเพื่อนบ้านมิตรภาพ ไม่ใช่สอนให้ดูถูกว่าประเทศเพื่อนบ้านว่าเขา “จน” เขา “โง่” ครูจะสอนการเมือง ให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์นักการเมือง รู้ทันโวหารนักการเมือง และครูจะไม่สอนในสิ่งที่ไม่จริงในสิ่งที่เท็จโดยบิดเบือนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรื่องเศรษฐศาสตร์ ครูจะสอนเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เอาเปรียบธรรมชาติ เพื่อนมนุษย์ จะสอนให้เห็นถึงความหลากหลายทาง “ชาติพันธุ์”โดยเรื่องสิทธิมนุษยชน ในฐานะพลเมืองโลกก็จะสอน จะสอนให้เคารพในสตรีเพศ สอนให้เคารพในบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย

                                             
     สังคมครู ครูจะไม่แก่งแย่งชิงดีกัน ครูจะไม่วันๆเอาแต่ทำการวิจัย จะไม่หวังว่าจะเลื่อนลำดับวิทยฐานะ โดยระลึกอยู่เสมอว่าโตขึ้นมาเป็นครูอาชีพนี้จะต้องเป็น “แม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ แห่งชาติ”ไม่ใช่เป็น “ชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ” โดยยึดหลักว่าจะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เมื่อให้แล้วย่อมได้ในสิ่งที่สมควรจะได้ สังคมครูจะมีความสุขเป็นฉันท์พี่น้อง ไม่นินทาด่ากันทั้งต่อหน้าและลับหลัง    ผู้อำนวยการก็จะไม่เป็นเผด็จการ รองผู้อำนวยการก็จะเป็นกัลยาณมิตรให้ผู้อำนวยการด้วย แต่ละคนต่างส่งเสริมความดีของกันและกัน เพื่อประโยชน์ “นักเรียน”เป็นที่ตั้งเท่านั้น

กิจกรรมที่ 7


ให้นักศึกษาศึกษาดูโทรทัศน์ครู ให้เลือกเรื่องที่นักศึกษาสนใจมาคนละ 1 เรื่อง และ เขียนลงในบล็อกกิจกรรมของนักเรียน ดังนี้

1.สอนเรื่องอะไร ผู้สอนชื่อ ระดับชั้นที่สอน
สอนเรื่องฉันรักบ้านเกิดสอนโดย
คุณครูประจักษ์ เอี้ยงเขื่อน โรงเรียนสว่างอารมณ์วิทยาคม  
ระดับชั้นที่สอนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6
2. เนื้อหาที่ใช้สอนมีอะไรบ้าง
            ต้องการให้นักเรียนภูมิใจในท้องถิ่นที่ตนเองอาศัย กิจกรรมการเรียนนั้น ครูสอนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการเกื้อหนุนต่อนักเรียนในท้องที่นั้น นักเรียนจะได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับจังหวัดของตนเอง ในด้านต่างๆ เช่น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การปกครอง สภาพเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจังหวัดของตนเองแล้วนั้นทำเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และหวงแหน ในท้องถิ่นของตนเองที่อาศัย  
3. จัดกิจกรรมการสอนด้าน (สติปัญญา=IQ, อารมณ์=EQ, คุณธรรมจริยธรรม=MQ)
    ด้านสติปัญญา
-  คุณครูถามคำถามเรื่องท้องถิ่นของนักเรียนแล้วให้นักเรียนตอบคำถามจากความคิดของตนเองแล้วนำมาเขียนลงบนกระดาน
นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้เพื่อที่จะนำไปวางแผนในการสำรวจชุมชน
    ด้านอารมณ์
- นักเรียนกล้าที่จะเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้อื่น
นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการวางแผนทำโครงงาน
นักเรียนได้สอบถามหาความรู้เพิ่มเติมจากชาวบ้านในชุมชน
นักเรียนกล้าที่จะนำเสนองานหน้าชั้นเรียน
    ด้านคุณธรรมจริยธรรม
นักเรียนในกลุ่มให้ความร่วมมือกันในการวางแผนลงสำรวจชุมชนอย่างสามัคคี ไม่เอาเปรียบกันในการทำงาน ช่วยเหลือกันในการทำโครงงาน
4. บรรยากาศการจัดห้องเรียน เป็นอย่างไร
ให้นักเรียนนั่งรวมกันเป็นกลุ่มทำให้ปรึกษาร่วมกันได้
ติดพัดลมภายในห้องเรียนทำให้นักเรียนไม่ร้อนจึงมีความตั้งใจเรียนมากขึ้น
มีการติดข้อมูลความรู้ต่างๆไว้บริเวณห้องเพื่อให้นักเรียนไว้อ่านเพิ่มเติมความรู้
มีอุปกรณ์ช่วยสอน เช่น กระดาน เครื่องเล่นวีดีโอ โทรทัศน์ ฯลฯ ทำให้เกิดการเรียนการสอนที่สะดวกขึ้น



กิจกรรมที่ 5


ครูในดวงใจ


Blank

ครูสิริพร  กุ่ยกระโทก  (ครูอ้อย แซ่เฮ)
เกิด 7 มกราคม 2501 54 ปี 
ป.1-7 โรงเรียนสตรีวรนาถบางเขน
ม.ศ.5 แผนกศิลปภาษา  ร.ร.ศรีบุณยานนท์  นนทบุรี
คบ.เอกภาษาอังกฤษ   โทศิลปะ  วิทยาลัยครูพระนคร  บางเขน  กทม.
ศษ.ม.หลักสูตรและการสอน  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  หัวหมาก  กทม.
                                ปฏิบัติราชการ  
 ครูผู้สอน  ภาษาอังกฤษ  ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ร.ร.พระยาประเสริฐสุนทราศรัย(กระจ่าง สิงหเสนี)  สพป.กทม.  
หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) 2544-ปัจจุบัน
หัวหน้าโครงการวิจัยโรงเรียน  2548-ปัจจุบัน
ได้รับมอบหมายให้ดูแลปฏิบัติการเกี่ยวกับโรงเรียนมาตรฐานสากล 2551-ปัจจุบัน


                                                      เกียรติประวัติ
   ครูดีเด่นการสอนภาษาอังกฤษ  ระดับกลุ่มโรงเรียน  2539 -254
   ข้าราชการครูตัวอย่าง  ระดับ 6 -8  กระทรวงศึกษาธิการ  2544
   ครูผู้มีผลงานดีเด่น  เพื่อรับรางวัลคุรุสภา  ระดับเขตการศึกษา 2544
   เครื่องหมาย  เข็มคุรุสดุดี   สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2545
   ครูตัวอย่างแห่งปี  วารสารสารคดีคนดีสร้างชาติ  2545
   ครูนักวิจัยยุคปฏิรูป  สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา  2546
   ครูดีในดวงใจ  ระดับสำนักงานเขตพื้นที่ กทม.เขต 2   2546
   ครูดีในดวงใจ ครั้งที่ 2 ระดับสำนักงานเขตพื้นที่ กทม.เขต 2  2554
   รางวัล  หนึ่งแสนครูดี  สำนักเลขาธิการคุรุสภา  กทม  2555
   ครูนักคิดประดิษฐ์สื่อฯ  รางวัลชมเชย
   แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ป.4    2547
   ศึกษาและวิจัยการสอนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์   2548
   ได้รับทุน สพฐ.ศึกษาดูงานการสอนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์   2548
    รางวัล " ครูเพื่อศิษย์ " สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้สู่สังคม
     ครูดีในดวงใจ  ระดับสถานศึกษาปีการศึกษา  2554
     ได้รับรางวัล  สตรีไทยรู้เท่าทันกับการดูแลสุขภาพตนเอง
                                             ประสบการณ์การทำงาน
       2523  ตำแหน่ง  อาจารย์ 1 ระดับ 3  
       บรรจุเข้ารับราชการ  ร.ร.วัดสโมสร  นนทบุรี
      2525   โอนย้าย  ร.ร.บ้านสีมุม  นครราชสีมา                                       
       2538   ย้าย  ร.ร.พระยาประเสริฐสุนทราศรัย(กระจ่าง สิงหเสนี) สพป
       2539   อาจารย์ 2 ระดับ 7 ร.ร.พระยาประเสริฐ
       2548   ครู คศ.3  ร.ร.พระยาประเสริฐ ฯ
       2551-ปัจจุบัน    กำลังทำผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ
                                                  วิทยากร
     2545  วิทยากรพี่เลี้ยงการจัดทำกำหนดตำแหน่งอาจารย์ 3
     2547  จนปัจจุบัน    วิทยากรศูนย์ ERIC ร.ร.สตรีวิทยา 2
    2549- ปัจจุบัน  วิทยากรพี่เลี้ยงการจัดทำผลงานเพื่อเลื่อนเป็นครูชำนาญการพิเศษ
    2550  วิทยากรการจัดการความรู้ในบล็อก
    2551  วิทยากรที่ปรึกษาการจัดทำผลงานเพื่อเลื่อนเป็นครูชำนาญการพิเศษ
                                                การฝึกอบรมศึกษาดูงาน
  2548   ฝึกอบรมและศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ 
  ศูนย์ SEAMEO RELC ประเทศสิงคโปร์
  2552   ฝึกอบรมและศึกษาดูงานการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ 
  2553 ถึงปัจจุบัน  กรรมการสมาคมนักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยรามคำแหง2554  
  2555  ศึกษาดูงานการสอนโรงเรียนประถม NGUYEN BINH KHIEM เวียดนาม
                                              ผลงานทางวิชาการ
วิจัยในชั้นเรียน   เทคนิคการสอนโต้ตอบทางสรีระ " พยัญชนะพิศวง " ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
วิจัยในชั้นเรียน  การใช้ " ภาษาอังกฤษเยือนบ้าน " เป็นสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
วิจัยในชั้นเรียน  การใช้ " หนังสือภาพ " เป็นแบบเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
วิจัยในชั้นเรียน  สื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  " หนังสือเล่มเล็ก " ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
วิจัยในชั้นเรียน  สื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  " หนังสือเล่มเล็ก " ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
วิจัยในชั้นเรียน  ความพึงพอใจในการสอนภาษาอังกฤษโดยครูจ้างชาวต่างประเทศ
วิจัยในชั้นเรียน  กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ...กำลังดำเนินการ
วิจัยในชั้นเรียน  11วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อย่างมีประสิทธิภาพและเพียงพอ.....กำลังดำเนินการ
วิจัยในชั้นเรียน  รูปแบบ 11 วิธีการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของครูผู้สอน  โดยใช้เครือข่ายศูนย์ประสานการพัฒนาคุณภาพวิชาการ  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2

 Large_dsc03794  




วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมสอบกลางภาค

   1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ

         ความเป็นครูของพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นครูของผสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า พระองค์สอนให้รู้จักพอเพียง พึ่งพาตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พระองค์สอนเราจากประสบการณ์ตรงของพระองค์ที่มีความห่วงใยต่อผสกนิกร เปรียบเสมือนพระองค์ คือ ครูของแผ่นดินที่ทรงสละความสบายเพื่อมาช่วยเหลือพวกเรา แต่ที่พระองค์สอนแปลกไปจากครูคนอื่น คือ พระองค์จะถ่ายทอดออกมาจากจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตากรุณาและการปฎิบัติจริง พระองค์คอยรับสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าคนที่จะมาทำหน้าที่ครูจะต้องพยายามจูงใจลูกศิษย์ให้มาสนใจและรับการถ่ายทอดจากครูด้วยความเต็มใจ และสอนให้ศิษย์ประพฤตนเป็นคนดีและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น
                                                                                            
2.ถ้าท่านเป็นรูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร

               ข้าพเจ้าจะนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนโดยการนำความรู้ที่เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง  หลักการใช้เหตุผลใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางในการใช้ชีวิ  การแก้ปัญหา  และการรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรปลูกฝังให้แก่นักเรียน 

3.ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบการเรียนการสอนที่ที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร
                    ออกแบบการเรียนการสอนโดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้  คือ  ต้องให้นักเรียนเข้าใจว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ




2.บทความเรื่อง วิถีแห่งสตีฟ จ๊อบ (วารสาร

ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวรอ่านหน้าที่ 

125-128) 

1.ข้อสรุปที่ได้จากบทความ
           
       สตีฟ จ๊อบส์ คือ เป็นคนมีความพากเพียรพยายาม  ขยัน  และตั้งใจที่จะทำสิ่งที่คาดหวังให้บรรลเป้าหมาย   เค้าอาจเป็นคนที่มีการศึกษาไม่สูงนักแต่ฉลาดและน่าสนใจเขาได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นจากมันสมองอัญชาญฉลาดของเขาสิ่งที่สร้างนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากปาฏิหาริย์ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากมันสมองและสองมือของมนุษย์ที่ผ่านกระบวนการฝึก ศึกษา พัฒนา และใช้ปัญญา” กว่าเขาจะมาถึงวันนี้เข้าต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆๆมากมายแต่ก็สามารถพ้นผ่านมาได้จนได้ จนกลายเป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


2.ถ้าท่านเป็นครูผู้สอนท่านจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์กับการเรียนการสอนได้อย่างไร

ข้าพเจ้าจะนำความรู้ที่มีทั้งหมดนำไปถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์โดยที่จะไม่หวงวิชา โดยใช้การสอนที่ทำให้นักเรียนทุกคนแสดงความสามารถของแต่ละคนออกมาให้ได้และทำให้เขารู้ว่าเขามีความถนัดด้านใด
ก่อนที่จะสอนจะสอบถามถึงความชอบและถนัดในวิชาที่เรียนและนักเรียนเสนอแนวคิดและสิ่งที่จะเรียนที่แตกต่างกันออกไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน และจะรักศิษย์ทุกๆคนเท่ากันไม่ว่าเขาจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ตามและจะคอยให้คำปรึกษาเวลานักเรียนมีปัญหาต่างๆ


3. ในฐานะที่นักศึกษาจะเป็นครูในอนาคตจะออกแบบการเรียนการสอนที่ที่จะนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างไร

สอนเรื่องความสามัคคี

   1.ค้นคว้าหาข้อมูลเรื่องความสามัคคี
2.เรียบเรียงข้อมูลความสามัคคีที่จะนำมาสอน
3.เขียนจุดประสงค์การสอน
4.นำข้อมูลมาทำสื่อเรียนการสอน เช่น PowerPoint ใบความรู้แจกนักเรียน เป็นต้น
5.ทำ Mind Map เรื่องความสามัคคี

การสอน

1.นำเสนอสื่อการสอน PowerPoint เรื่องความสามัคคี
2.แจกใบความรู้นักเรียนเรื่องความสามัคคี
3.ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันแล้วให้สรุปสิ่งที่ได้รับแล้วให้ทำ Mind Map เรื่องความ    สามัคคี
4.นักเรียนนำเสนอ Mind Map เรื่องความสามัคคี หน้าชั้นเรียน
5.เมื่อนำเสนอเสร็จก็ให้บันทึกสิ่งที่ได้รับใบความรู้เรื่องความสามัคคี ที่แจกให้
6. ให้คะแนนความสามัคคีภายในกลุ่มจากการสังเกตของครูในแต่ละกลุ่ม


 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 4 การทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

             การทำงานเป็มทีมจะประสบความสำเร็จต้องมีความสามารถในการใช้วิชาความรู้  และความสามารถในการประสานสัมพันธิ์กับผู้อื่น  และควรกระทำอย่างบริสุทธิ์ปราศจากอคติ มีความถูกต้อง มีเหตุผล                                                                                                                                                                                                                                      
              การทำงานเป็นทีมจะทำให้งานที่ออกมานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
                                                                                      
              ทีม  หมายถึง  กลุ่มคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ทำงานร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน สมาชิกจะต้องเสียสละความเป็นส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และจะต้องมีความเข้าใจกัน มีความผูกพันและให้ความร่วมมือกันในการทำงานกลุ่ม
                                                                                                                                                                                                                    
              แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของบุคคล
                                                                                     
    1.ยอมรับความแตกต่างของบุคคล                                                                                                               
    2.แรงจูงใจภายในกลุ่มของตนเอง                                                                                                                                       
    3.ธรรมชาติของมนุษย์
                                                                                                                               
              ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ   จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และมีเป้าหมายอย่างชัดเจน มีความจริงใจต่อกัน ใว้ใจซึ่งกันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา ใช้ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ ทบทวนการทำงานและมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลารู้จักตนเองและสมาชิกในกลุ่มเป็นอย่างดี 

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมที่ 3 การจัดการเรียนการสอน


กิจกรรมที่่ 3

       การจัดการเรียนการสอน

     ในยุคก่อนศตวรรษที่ 21  การเรียนรู้จะเกิดในโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งจะเป็นความรู้แบบท่องจำ ไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง  เป็นการเรียนรู้ที่มีการสิ้นสุด  มีผู้ถ่ายทอดความรู้มาให้ และโรงเรียนต้องเป็นผู้กล่อมเกลามนุษย์ให้เป็นคนดี    ส่วนยุคศตวรรษที่ 21 การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกแห่ง โดยสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง คนเรามีความจำไม่เท่ากันการเรียนรู้จึงไม่เน้นความจำ  การเรียนรู้เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต  ตนเองเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการเรียนรู้  สังคมจะเป็นสิ่งกำหนดและกล่อมเกลาเราให้เป็นคนดี
         
แนวการจัดการเรียนรู้
     
           จะต้องมีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ  และในบางสถานการณ์ก็จะต้องมีการยืดหยุ่นบ้าง  ครูจะต้องทันข่าวสาร  และจะต้องรู้จักใช้แหล่งเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและนักเรียนเสมอ โดยให้ผู้เรียนจัดการเรื่องการเรียนรู้ของตน  และมีครูเป็นผู้คอยให้คำปรึกษา
             สำหรับการเรียนรู้ในอนาคตนั้นคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก  การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น  สื่อ และเทคโนยีก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย  ดังนั้นครูในอนาคตจะเป็นเพียงตัวแทนของการเรียนรู้เท่านั้น ครูจึงต้องเป็นผู้ที่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างชำนาญและมีประสิทธิภาพ

       

กิจกรรมที่ 2 ทฤษฏีการบริหารการศึกษา



  ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
               ทฤษฏีมาสโลว์ ป็นผู้วางรากฐานจิตวิทยามนุษยนิยม ได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 
          1. ความต้องการทางกายภาพ  คือ ความต้องการพื้นฐานของร่างกายซึ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต 
          2. ความต้องการความปลอดภัย คือ ความต้องการมั่นคงปลอดภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 
          3. ความต้องการทางสังคม คือ ความต้องการที่จะเป็นที่รักของผู้อื่น ต้องการมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น 
          4. ความต้องการยกย่องชื่อเสียง คือ ความปรารถนาที่จะมองตนเองว่ามีคุณค่าสูง เป็นที่น่าเคารพยกย่อง
          5. ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและความสำเร็จของชีวิต คือ ความต้องการที่จะรู้จักและเข้าใจตนเองตามสภาพที่แท้จริงเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองให้สมบูรณ์
           
ทฤษฎี X(Theory X)
               เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ไม่ชอบงานและพยายามหลีกเลี่ยงงาน  ทฤษฎี Y(Theory Y) เป็นปรัชญาการบริการจัดการ โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
              ทฤษฎี A คือ Amarican Theory เป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา ซึ่งให้หลักการว่า การบริหารจัดการแบบนี้ ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
          1.) Individualism คือ การที่สังคมอเมริกันเป็นสังคมแบบ ปัจเจกบุคคล ซึ่งจะมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมาแต่อดีต และเมื่อคนต่างชาติโดยเฉพาะคนตะวันออกเข้าไปอาศัยในอเมริกันก็จะสังเกตว่า คนอเมริกันเป็นคนโดดเดี่ยว มีสุงสิงกับใคร สังคมแบบ Individualism ส่งผลให้เกิดบุคลากรที่มีความรับผิดชอบในหน่วยงานสูง แต่ก็เกิดผลเสียคือ ไม่เกิดความผูกพัน หรือเป็น
          2.) Short Term Employmenคือ การจ้างงานในระยะสั้น คนอเมริกันมักไม่มีความผูกพันในครอบครัว ในที่ทำงาน พร้อมเสมอที่ออกจากงาน ย้ายงาน จึงมักมีบริการให้เช่าสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมองว่าต้นทุนในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เมื่อย้ายงาน ออกจากบ้าน จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าค่าเช่า
         3.) Individual Decision Making คือ สูง มีความมั่นใจในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ ทำให้ผู้บริหารไม่ต้องไปดูแลอย่างใกล้ชิด ผลเสียคือ ขาดการทำงานเป็นทีม

William Ouchi : ทฤษฎี Z   
     ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกัน คุณวิลเลียม โอชิ ซึ่งเป็นชาวซามูไรเป็นคนคิดขึ้นมา 


วิลเลี่ยม โอชิ มองเห็นข้อดีและข้อเสียของ 2 ทฤษฎีตัวอย่าง แล้วนำข้อดีข้อเสียนั้นมาวิเคราะห์สร้างเป็นทฤษฎีร่วมสมัย ที่เรียกว่า Blend Together หรือการนำมาผสมผสานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่า ทฤษฎีซึ่งเป็นแนวคิดของการบริหารจัดการเชิงจินตนาการ โดย


1. ใช้วิธีแบบ Long Term Employment  หรือการจ้างงานระยะยาวขึ้น  ซึ่งเป็นทางสายกลาง คือ ไม่ต้องจ้างตลอดชีวิตแต่ก็ไม่ใช่การจ้างแบบระยะสั้น แต่เน้นการจ้างในระยะเวลาที่นานพอสมควรแล้วสร้างความผูกพัน


2. จะต้องมีลักษณะที่เรียกว่า Individaul Responsibility  คือ จะต้องมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่งนำเอาหลักแนวคิดแบบอเมริกันมาใช้กับบุคลากรในหน่วยงานให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง กล้าตัดสินใจ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารมากจนเกินไป

3. ต้องมี Concential Decision Making คือ การตัดสินใจต้องทำเป็นทีม ต้องมีการพูดคุย ถึงผลดีผลเสียของการบริหารจัดการแบบต่างๆ                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                 



Henri Fayol
 เป็นบิดาของทฤษฎีการจัดการการปฏิบัติการ(Operational management theory) หรือบางทางก็ถือกันว่าเป็นบิดาของการบริหารจัดการสมัยใหม่  เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ และเขาสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ (Managerial activities) ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมห้าอย่างคือ
 1. การวางแผน(Planning)   


 2. การจัดองค์การ(Organizing)


 3. การบังคับบัญชา หรือการสั่งการ (Commanding)


 4. การประสานงาน (Coordinating)
 5. การควบคุม (Controlling)

อังริ ฟาโยล (Henri Fayol)
         อังริ ฟาโยล (Henri Fayol)เป็นนักอุตสาหกรรม ชาวฝรั่งเศส มีประสบการณ์ด้านการบริหารองค์การของรัฐขนาดใหญ่ ได้นำเสนอหลักการทีเขาเรียกว่า หลักการจัดการ 14 ประการ (Fayol's Fourteen Principles of Management) ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ
         1. การจัดแบ่งงาน (division of work)
2. การมีอำนาจหน้าที่ (authority)
3. ความมีวินัย (discipline)
4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา (unity of command)
5. เอกภาพในทิศทาง (unity of direction)
6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน
7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม (remuneration)
8. ระบบการรวมศูนย์ (centralization)
9. สายบังคับบัญชา (scalar chain)
10. ความเป็นระบบระเบียบ (order)
11. ความเท่าเทียมกัน (equity)
12. ความมั่นคง และสามัญฐานะของบุคลากร (stability of tenure of personnel)
13. การริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)
14. วิญญาณแห่งหมู่คณ (esprit de corps)
Max Weber : ทฤษฎีการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucratic Management)
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy เขาเห็นว่าเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น หากได้รับการพัฒนาในระดับที่เหมาะสม โดยสรุปแล้วแนวคิดการจัดองค์กรของเว็บเบอร์มี 6 ประการมีดังนี้ คือ
1.องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ เพื่อให้แต่ละส่วนงานได้มีโอกาสทำงานในส่วนที่ง่ายพอ และมีการกำหนดงานนั้นๆให้ชัดเจนและไม่สับสน (Division of labor)
2.องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับชั้น ( Authority Hierarchy) 
3.ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็นทางการ ( Formal Selection) 
4.องค์การต้องมีระเบียบ และกฏเกณฑ์ (Formal Rules and Regulations)
5.ความไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ( Impersonality)
6.การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ (Career Orientation)


Luther Gulick : POSDCORB
Luther Gulick เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม 7 ประการมาใช้ในการบริหารจัดการ ในวงการบริหารจะรู้จักกิจกรรมทั้ง 7 ประการนี้เป็นอย่างดี มีคำย่อว่า POSDCORB (CO คือคำเดียวกัน) กิจกรรม 7 ประการมีดังนี้
P  คือการวางแผน (planning)  หมายถึง  การกำหนดเป้าหมายขององค์การ
         O คือการจัดองค์การ (organizing)  หมายถึง การจัดตั้งโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นทางการ
D  คือการสั่งการ (directing)  หมายถึง การที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา
S  คือการบรรจุ (staffing)  หมายถึง  หน้าที่ด้านบริหารงานบุคคลเพื่อฝึกอบรมเจ้าหน้าที่
         CO คือการประสานงาน (co-ordinating)  หมายถึง  หน้าที่สำคัญต่าง ๆ ในการประสาน
  r คือการรายงาน  (reporting)  หมายถึง  การรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในองค์การ
B  คือการงบประมาณ (budgeting)  หมายถึง หน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวของกับงบประมาณ

Frederick Herzberg : ทฤษฎี 2 ปัจจัย (Two Factors Theory)
เฮิร์ซเบอร์กได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน เขาได้ศึกษาโดยการสัมภาษณ์พนักงานในเรื่องของความพึงพอใจจากการทำงาน และทำให้เขาได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยภายนอก(Hygiene Factors) ได้แก่
นโยบายขององค์กร
การบังคับบัญชา
ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน
2. ปัจจัยภายใน(Motivation Factors) ได้แก่
การทำงานบรรลุผลสำเร็จ
ทำงานได้ด้วยตนเอง
ความรับผิดชอบ

Frederick W. Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
เทย์เลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายให้มีความรับผิดชอบ
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง ๆ

Henry L. Gantt : ผู้พัฒนาการอธิบายแผนโดยใช้กราฟ (Gantt Chart)
Gantt เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านที่นำเอากราฟ "Gantt Chart" มาเป็นสื่อในการอธิบายแผน การวางแผน การจัดการ และการควบคุมองค์กรที่มีความสลับซับซ้อน เพื่อให้ผู้รับฟังเกิดมิติในการรับรู้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วเขายังได้คิดวิธีจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานแบบใหม่ โดยใช้วิธีให้สิ่งจูงใจ

Frank B. & Lillian M. Gilbreths : Time – and – Motion Studies
แนวคิดของ Gilbreth เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการหาวิธีการทำงานที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง (the o­ne best way to do work) การศึกษาที่สำคัญคือลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำงาน (Motion Study)ผังกระบวนการทำงาน (Work Flow Process Chart)พวกเขาได้นำกล้องเพื่อทำการถ่ายรูปเก็บข้อมูล นำมาใช้ศึกษาลักษณะการทำงานของมนุษย์